LASTEST NEWS

29 พ.ย. 2566ก.ค.ศ.ปรับเพิ่มทางเลือกใช้เกณฑ์ PA ไฟเขียว 6 ข้อประเมินข้าราชการครู เดินหน้าระบบพร้อมใช้ปี 67 29 พ.ย. 2566“ธนุ” โยกงานจัดซื้อจัดจ้างรร.เล็กให้เขตพื้นที่ดูแล ย้ำต้องทำอย่างโปร่งใส 28 พ.ย. 2566โรงเรียนสตรีนนทบุรี ประกาศหยุดเรียน วันศุกร์ที่ 1 ธ.ค.66 และเรียนออนไลน์วันจันทร์ที่ 4 ธ.ค.66 28 พ.ย. 2566เสมา 2 มอบนโยบายฟื้นสอบเทียบ  ยังไม่สรุปแจกแท็บเล็ตหรือโน๊ตบุ๊ก ตั้งคณะทำงานศึกษาข้อดีข้อเสีย 28 พ.ย. 2566ข่าวดี! สพป.สุราษฎร์ธานี เขต 1 เรียกบรรจุครูผู้ช่วยล็อตใหญ่ 8 กลุ่มวิชาเอก รวม 116 อัตรา 28 พ.ย. 2566เปิดรายละเอียด ! ครม.เห็นชอบปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ ครอบคลุมทุกกลุ่ม 28 พ.ย. 2566ด่วน! อุบลฯ เขต 2 ประกาศสอบครูผู้ช่วย รอบทั่วไป ปี'66 ใหม่ เหตุ มรภ.อุบลฯ ผลิตข้อสอบไม่ตรงตามประกาศ 28 พ.ย. 2566ข่าวดี! สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดสอบตำรวจ 5,000 อัตรา วุฒิ ม.6, ปวช.หรือเทียบเท่า รับสมัคร 11-20 ธ.ค.2566 28 พ.ย. 2566ครม. เห็นชอบหลักการ ปรับเงินเดือนข้าราชการบรรจุใหม่ 1.8 หมื่นบาท 28 พ.ย. 2566กาง "ปฏิทินเงินเดือนข้าราชการปี 67" พร้อมเปิดเงื่อนไขให้แจ้งหากต้องการรับ 2 รอบ

การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน PBL

usericon

การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการจำเป็น และแนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) สร้างและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ 3) ทดลองใช้และประเมินผลรูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ และ4) ปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ ดำเนินการวิจัยและพัฒนาแบ่งเป็น 4 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการจำเป็น และแนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ ระยะที่ 2 การสร้างรูปแบบและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ ระยะที่ 3 ทดลองใช้และประเมินผลรูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ และระยะที่ 4 ปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเดื่อศรีไพรวัลย์ สังกัดสำนักการศึกษาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 36 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1) แบบสอบถามสภาพปัจจุบันในการจัดการเรียนรู้ฯ 2) แบบสอบถามความต้องการสำหรับการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ 3) แบบสัมภาษณ์แนวทางในการจัดการเรียนรู้ 4) แบบวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบ 5) แบบตรวจสอบประสิทธิภาพด้านความสมเหตุสมผลเชิงทฤษฎี ความเป็นไปได้ และความสอดคล้องของรูปแบบ 6) แบบประเมินชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น 7) แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาคณิตศาสตร์ (ค23102) สาระที่ 3 สถิติและความน่าจะเป็น 8) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น จำนวน 5 เล่ม และ 3) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 แผน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติพื้นฐาน ค่าเฉลี่ย (X ̅) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติการทดสอบที (t-test Dependent Samples) ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม (Focus Group) วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และนำเสนอผลโดยการพรรณนาความ ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลการศึกษาสภาพปัญหา และความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า 1.1) สภาพปัญหาปัจจุบันในการจัดการเรียนรู้ สภาพปัญหาในภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง (X ̅ = 3.18, S.D. = 0.65) 1.2) นักเรียนความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น ความต้องการจำเป็นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X ̅ = 4.20, S.D. = 0.79) 1.3) แนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ แนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น เพื่อกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ สร้างแผนการเรียนรู้ และสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย (1) เนื้อหาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 เรื่อง สถิติ 3 และความน่าจะเป็น (2) รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ใช้รูปแบบโครงงาน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) 6 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 กำหนดปัญหา ขั้นที่ 2 วิเคราะห์และทำความเข้าใจกับปัญหา ขั้นที่ 3 ดำเนินการศึกษาค้นคว้า ขั้นที่ 4 รวบรวมข้อมูลและสังเคราะห์ความรู้ ขั้นที่ 5 สรุปและประเมินผลการเรียนรู้ และขั้นที่ 6 นำเสนอและประเมินผลงาน (3) การพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน ได้แก่ การแก้ปัญหา การสื่อสารและการสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ การเชื่อมโยง การให้เหตุผล และการคิดสร้างสรรค์ และ (4) แนวทางในการวัดและประเมินผล วัดผลและประเมินผลจากการปฏิบัติและประเมินตามสภาพจริง
2. ผลพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด พบว่า 2.1) ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพ (E1/ E2) เท่ากับ 80.67/81.22 และ 2.2) ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น มีประสิทธิภาพ (E1/ E2) เท่ากับ 80.96/81.22 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้
3. ผลการทดลองใช้และประเมินผลรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า 3.1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ (X ̅ = 40.61, S.D. = 0.90) สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ฯ (X ̅ = 27.97, S.D. = 0.97) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3.2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (X ̅ = 4.57, S.D. = 0.53)
4. ผลการปรับปรุงและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เรื่องสถิติและความน่าจะเป็น ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า หลังการใช้รูปแบบฯ ผู้วิจัยได้ร่วมสนทนากลุ่ม (Focus Group) กับผู้เชี่ยวชาญและคณะครูได้สะท้อนผลหลังการใช้รูปแบบฯ ให้ข้อเสนอแนะ สิ่งที่ควรพัฒนา ตลอดจนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการคาดหวัง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญและคณะครูได้ให้ข้อเสนอแนะ เพื่อการพัฒนาในด้านการนำรูปแบบฯ ไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สะท้อนผล ถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของรูปแบบฯ ในด้านต่าง ๆ ผู้วิจัยได้นำข้อเสนอแนะมาปรับปรุงแก้ไขรูปแบบให้มีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมกับการนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อ
พัฒนาผู้เรียนได้เต็มตามศักยภาพ
thunyaachaiya 04 มี.ค. 2566 เวลา 22:34 น. 0 143
ร่วมแสดงความคิดเห็น
เงื่อนไข การร่วมแสดงความคิดเห็น!

ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือ ชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม เพื่อให้ผู้ควบคุมระบบทราบและทำการลบข้อความนั้น ออกจากระบบต่อไป

ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้

^