การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ชื่อเรื่อง การพัฒนาชุดบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยี และการสื่อสาร
เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ผู้ศึกษาค้นคว้า นายขวัญชัย เจริญเนตร
สถานศึกษา โรงเรียนอุดมอักษรพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
ปีที่พิมพ์ 2561
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของชุดการเรียนรู้ด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้ชุดการเรียนรู้ด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ที่พัฒนาขึ้น กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนอุดมอักษรพิทยาคมสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำนวน 43 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่
1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบทดสอบที่เป็นปรนัยมี 4 ตัวเลือก จำนวน 25 ข้อ มีค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.37 – 0.74 และค่าจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.33 – 0.78 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.77 และ 3) แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เป็นแบบมาตราส่วนประมาณ ซึ่งมี 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด จำนวน 15 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ ค่าดัชนีประสิทธิผล และค่า t – test
ผลการศึกษา พบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่พัฒนาขึ้น
มีประสิทธิภาพเท่ากับ 89.10 / 85.32 มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.768 และการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนและก่อนเรียน ปรากฏว่าคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจหลังจากการใช้ชุดชุดบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
โดยสรุป ชุดบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเหมาะสมกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกทักษะในการเสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ของนักเรียน นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นและสามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในเนื้อหาวิชาอื่นๆ ต่อไป
เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ผู้ศึกษาค้นคว้า นายขวัญชัย เจริญเนตร
สถานศึกษา โรงเรียนอุดมอักษรพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32
ปีที่พิมพ์ 2561
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของชุดการเรียนรู้ด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้ชุดการเรียนรู้ด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ที่พัฒนาขึ้น กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนอุดมอักษรพิทยาคมสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำนวน 43 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่
1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบทดสอบที่เป็นปรนัยมี 4 ตัวเลือก จำนวน 25 ข้อ มีค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.37 – 0.74 และค่าจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.33 – 0.78 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.77 และ 3) แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เป็นแบบมาตราส่วนประมาณ ซึ่งมี 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด จำนวน 15 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ ค่าดัชนีประสิทธิผล และค่า t – test
ผลการศึกษา พบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่พัฒนาขึ้น
มีประสิทธิภาพเท่ากับ 89.10 / 85.32 มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.768 และการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนและก่อนเรียน ปรากฏว่าคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนมีความพึงพอใจหลังจากการใช้ชุดชุดบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย สาระเทคโนโลยีและการสื่อสาร เรื่อง การสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปด้วยโปรแกรม CMS (Wordpress) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
โดยสรุป ชุดบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่านเครือข่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเหมาะสมกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกทักษะในการเสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ของนักเรียน นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นและสามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในเนื้อหาวิชาอื่นๆ ต่อไป