LASTEST NEWS

17 มี.ค. 2567ราชกิจจานุเบกษา ประกาศข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2567 17 มี.ค. 2567โรงเรียนสตรีนครสวรรค์ รับสมัครครูอัตราจ้าง วิชาเอกภาษาไทย เงินเดือน 12,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 22 - 26 เมษายน พ.ศ. 2567 17 มี.ค. 2567ด่วน! กรุงเทพมหานคร เปิดสอบครูผู้ช่วย กรณีพิเศษ 15 วิชาเอก 730 อัตรา รับสมัคร รอบที่ 1 ตั้งแต่ 20-26 มี.ค.2567 และรอบที่ 2 ตั้งแต่ 31 พ.ค.-14 มิ.ย.2567 16 มี.ค. 2567โรงเรียนหนองแค“สรกิจพิทยา” รับสมัครครูอัตราจ้าง 2 อัตรา เงินเดือน 12,000.- บาท ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม - 24 มีนาคม 2567 16 มี.ค. 2567โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์(วัดน้อยใน)ในพระราชูปถัมภ์ฯ รับสมัครครูอัตราจ้าง วิชาสังคมศึกษา เงินเดือน 15,000.- บาท ตั้งแต่บัดนี้-22 มีนาคม 2567 16 มี.ค. 2567โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 2 รับสมัครครูอัตราจ้าง วิชาสุขศึกษาและพลศึกษา เงินเดือน 15,000.- บาท ตั้งแต่ 18-22 มี.ค.2567 16 มี.ค. 2567สพฐ. สั่งเด้งด่วน! ผอ.หวงเก้าอี้ ฮึ่มเร่งสอบข้อเท็จจริง ภายใน 7 วัน 16 มี.ค. 2567สพฐ. สั่ง ผอ.เขต รายงานด่วน ”ผอ.โรงเรียนหวงเก้าอี้“ พร้อมกำชับให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย 16 มี.ค. 2567โรงเรียนบางปะอิน "ราชานุเคราะห์ 1" รับสมัครครูอัตราจ้าง 2 อัตรา เงินเดือน 15,000.-บาท ตั้งแต่วันที่ 11 – 20 มีนาคม 2567 เว้นวันหยุดราชการ  16 มี.ค. 2567ครูจบใหม่เฮ! ขึ้นเงินเดือนครู ครูผู้ช่วยรับ 18,000 บาท เช็กฐานเงินเดือนครู

ยุบ ศธจ.ศจภ?:การทับซ้อนของอำนาจบริหาร? บทความโดย : รองศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ นพรัก

  • 23 พ.ค. 2565 เวลา 17:52 น.
  • 1,784
ยุบ ศธจ.ศจภ?:การทับซ้อนของอำนาจบริหาร?  บทความโดย : รองศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ นพรัก

นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ LINE it! - +

ยุบ ศธจ.ศจภ?:การทับซ้อนของอำนาจบริหาร?
รองศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ นพรัก


'วิษณุ' ถก ศธ.-กมธ.ศึกษาฯ ปมร่างพ.ร.บ.การศึกษาฯ แนะจัดโครงสร้างทำภายหลังได้ ย้ำพัฒนาผู้เรียนสำคัญกว่า (ไทยโพสต์ 5 พฤษภาคม 2565 เวลา 16:44 น.)
“ส่วนประเด็นเรื่องที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติพ.ศ….ได้พิจารณาลงมติเสียงข้างมากเห็นชอบร่างมาตรา 3 ให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน 5 ฉบับ ซึ่งมีคำสั่งคสช.ที่ 19/2560 เรื่องปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ นั้น เรื่องนี้ นายวิษณุ ต้องการให้การจัดทำโครงสร้าง ศธ.ไปอยู่ในกฎหมายลูก โดยสามารถบริหารจัดการภายหลังได้ และยังต้องการให้เน้นความสำคัญของการพัฒนาผู้เรียนมากกว่าการพูดถึงเรื่องโครงสร้างศธ.”

ต่อกรณีปัญหาความขัดแย้งทางความคิดในการยกเลิก”คำสั่งคสช.ที่ 19/2560 เรื่องปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ” ที่ไม่สมควรปล่อยไว้ให้เป็นปัญหาเรื้อรัง แล้วอ้างว่าจะนำไปแก้ปัญหาในภายหลัง ทั้งที่มีเหตุผลทางวิชาการรองรับในการแก้ปัญหาอยู่แล้วนั้น

ผู้เขียนมีความเห็นทางวิชาการสนับสนุนการยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน 5 ฉบับ ซึ่งมีคำสั่งคสช.ที่ 19/2560 เรื่องปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ อยู่ในมาตรา 3 ของ(ร่าง)พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ อยู่ด้วย

 
แต่ก่อนที่จะนำเสนอแนวคิดขออนุญาตนำคำสั่งคสช.ที่ 19/2560 เรื่องปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ที่เป็นกรณีก่อให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด มาเพื่อประกอบการพิจารณา ดังต่อไปนี้

#เหตุผลในการออกคำสั่งที่ 19/2560  เรื่อง การปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ โดยอาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557คือ “จากข้อเท็จจริงที่ได้ปรากฏให้เห็นถึงสภาพปัญหาในการจัดการการศึกษาของประเทศในส่วน ภูมิภาคทั้งในด้านโครงสร้างขององค์การ ด้านระบบบริหารจัดการ และด้านบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาเยาวชนซึ่งเป็นทรัพยากรมนุษย์และกําลังคน ที่สําคัญในการพัฒนาประเทศ และเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนและการพัฒนาด้านการศึกษา ของประเทศให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมนานาประเทศ”

###คำสำคัญในคำสั่งคือ”สภาพปัญหาในการจัดการการศึกษาของประเทศในส่วน ภูมิภาค” ซึ่งมิได้ระบุสภาพปัญหาใดให้ชัดเจน มีแต่คำกล่าวอ้างแบบบอกเล่าปัญหาปากต่อปากว่า มีการทุจริตในการบริหารงานบุคคลของผู้อำนวยการเขตพื้นที่ ซึ่งเป็นปัญหาพฤติกรรมเฉพาะบุคคล แต่กลับกลายเป็นส่งผลให้มีการปรับโครงสร้างการบริหารระดับภูมิภาค โดยอาศัยคำสั่ง คสช.
ประเด็นที่เป็นสาระสำคัญในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 3 ประการ คือ

1.การจัดตั้งหน่วยงานการศึกษาใหม่ระดับภาค ใน “ข้อ 6 ให้มีศึกษาธิการภาคเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงานราชการและลูกจ้าง ในสํานักงานศึกษาธิการภาค มีอํานาจหน้าที่รับผิดชอบการดําเนินงานของสํานักงานศึกษาธิการภาค”
2.จัดตั้งคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดชุดใหม่ เรียกโดยย่อว่า “กศจ.” ประกอบด้วย
(1) ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ 
(5) ศึกษาธิการจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ
3. การจัดตั้งหน่วยงานการศึกษาใหม่ระดับจังหวัด “ข้อ 12 ให้มีศึกษาธิการจังหวัด เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ พนักงานราชการ และ ลูกจ้างในสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของศึกษาธิการภาค มีอํานาจหน้าที่ รับผิดชอบการดําเนินงานของสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด”
###สรุป ผลของคำสั่งที่ 19/2560 คือ
1.การเกิด 2 หน่วยงาน ระดับภาคและระดับจังหวัด (ใหม่) และคณะกรรมการ 1 คณะ ระดับจังหวัด (ใหม่) ในส่วนภูมิภาค ส่งผลต่อการใช้อำนาจบริหาร (administrative power)ที่เกิดจากอำนาจใหม่ เหนือผู้อำนวยการเขตพื้นที่เดิมอีก 2 อำนาจทำให้เกิดการทับซ้อนของการใช้อำนาจระดับภูมิภาค เป็นการกระจุกอำนาจการบริหารไว้ถึง 3 หน่วยงาน และเป็นการกลับไปรวมอำนาจการบริหารเหมือนการบริหารรูปแบบเดิมในอดีต
2.ทำให้สายการบังคับบัญชา (chain of command)ระดับภูมิภาคยาวขึ้นกว่าเดิมที่มีเพียง 1 ระดับชั้น คือเขตพื้นที่การศึกษาไปยังโรงเรียน ก็เพิ่มขึ้นอีก 2 ระดับชั้น รวมเป็น 3 ระดับชั้น ซึ่งผิดหลักการการกระจายอำนาจบริหารไปสู่โรงเรียน
###ก่อนที่ผู้เขียนจะแสดงความเห็นเชิงวิชาการต่อประเด็นร้อนที่เกิดขึ้น ขอวิเคราะห์ย้อนไปให้ภาพการบริหารการศึกษาไทยในอดีต ทั้งการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ดังต่อไปนี้

ระยะที่ 1 “กระทรวงศึกษาธิการมีระบบการบริหารจัดการการศึกษา โดยกรมสามัญศึกษา (อังกฤษ : Department of General Education) เป็นส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2481 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล มีหน้าที่จัดการศึกษาสามัญ” (วิกิพีเดีย)แบบรวมอำนาจการบริหารทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา 
###สรุป  
1)มีหน่วยงานในส่วนกลางรวมอำนาจการบริหารการศึกษาทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา  คือกรมสามัญศึกษา
2)มีหน่วยงานในส่วนภูมิภาครวมอำนาจการบริหารการศึกษาไว้ ภายใต้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งระดับภาค จังหวัดและอำเภอ คือสำนักงานศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด และศึกษาธิการอำเภอ เป็นหน่วยงานดูแลการบริหารการศึกษาในโรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา 

ระยะที่ 2 มี”พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2481 จัดตั้งกรมสามัญศึกษาขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2482 มีหน้าที่จัดการศึกษาสายสามัญ”(วิกิพีเดีย)  (ระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา)

## มีหน่วยงานส่วนกลางรวมอำนาจคือกรมสามัญศึกษา และหน่วยงานส่วนภูมิภาครวมอำนาจในสสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการเช่นเดียวกับระยะที่ 1 

ระยะที่ 3 “ปี พ.ศ. 2494 ได้มีการตราพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2494 ขึ้นอีกครั้ง ทำให้กรมสามัญศึกษา มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการมัธยมศึกษา ทั้งของรัฐและเอกชน ตลอดจนการฝึกหัดครูด้วย และในปี พ.ศ. 2495 ได้มีการตราพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ขึ้นใหม่อีกครั้ง ให้มี "กรมวิสามัญศึกษา" ทำหน้าที่จัดการศึกษาตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 1-5” (วิกิพีเดีย) และ”กรมสามัญศึกษา” ทำหน้าที่จัดการศึกษาระดับประถมศึกษา

## สรุป 1)มีการแบ่งอำนาจการบริหารในส่วนกลาง เป็น 2 กรม โดยบริหารการศึกษาแบบแยกระดับการศึกษา ระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา 2)ระดับภูมิภาค มีการรวมอำนาจไว้ในหน่วยงานดูแลการบริการจัดการการศึกษา เช่นเดียวกับระยะที่ 1 คือรวมอำนาจภายใต้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
#####โดยสรุป การบริหารการศึกษาในระยะที่ 1-3 มีการใช้อำนาจการบริหารในส่วนกลางระดับกรม และอำนาจการบริหารส่วนภูมิภาคโดยสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

ระยะที่ 4 “พ.ศ.2509 มีพระราชบัญญัติโอนโรงเรียนประถมศึกษาบางประเภทไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดทำหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการศึกษาระดับประถมศึกษาหรือการศึกษาประชาบาลโดยครง ทั้งทางด้านการบริหารงานบุคคล วิชาการและธุรการ”(ปราชญา กล้าผจัญ,2538) ส่วนกรมสามัญศึกษารับผิดชอบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและโรงเรียนอนุบาลที่จัดการศึกษาระดับประถมศึกษา ต่อมาในปี พ.ศ. 2515 มีประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 216, 217 และ 218 ได้ประกาศให้กรมสามัญศึกษากับกรมวิสามัญศึกษาเข้าด้วยกัน ให้ใช้ชื่อว่า กรมสามัญศึกษา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2515 

###สรุป 1)มีการแบ่งอำนาจการบริหารการศึกษาระดับประถมศึกษาบางส่วนจากส่วนกลางกรมสามัญศึกษา ไปให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย 2)ในส่วนภูมิภาคมีการแบ่งอำนาจการบริหารโรงเรียนประถมศึกษาบางส่วนไปให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด 3)ส่วนระดับมัธยมศึกษาและโรงเรียนอนุบาลยังอยู่ภายใต้หน่วยงาน ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการดูแลรับผิดชอบ 

ระยะที่ 5 พ.ศ.2523 มีการโอนการศึกษาประชาบาลในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.)ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นใหม่ระดับกรม ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อรองรับการบริหารจัดการประถมศึกษาภาคบังคับระดับประถมศึกษา เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2523 (ปรัชญา กล้าผจัญ,2538)

###สรุป 1) การบริหารการศึกษาในส่วนกลางมีการแบ่งอำนาจการบริหารระดับมัธยมศึกษา ให้กรมสามัญศึกษา ส่วนระดับประถมศึกษาแบ่งอำนาจให้สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.)
2)การบริหารส่วนภูมิภาค มีการแบ่งอำนาจให้ สำนักงานปลัดกระทรวงบริหารการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ส่วน สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาจังหวัด (สปจ.)และสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาอำเภอ (สปอ.)บริหารการศึกษาระดับประถมศึกษาภายใต้การบริหารอำนาจของสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.)
3)มีการกระจายอำนาจการบริหารโดยมีคณะกรรมการบริหารในรูปแบบองค์คณะบุคคล

ระยะที่ 6 ในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 ได้มีการปฏิรูปกระทรวง ทบวง กรม และยุบรวมหน่วยงานระดับกรมในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการเข้าด้วยกัน ทำให้กรมสามัญศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ถูกโอนกิจการไปยังสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหน้าที่รับผิดชอบการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ซึ่งเป็นการศึกษาในระบบทั้งหมด

###สรุป 1)มีการบริหารส่วนกลางโดยบริหารแบบรวมอำนาจ มีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดูแลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา 
2)การบริหารระดับภูมิภาค มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารอำนาจ จากเดิมที่เคยแบ่งอำนาจการบริหารให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด มีอำนาจบริหารโรงเรียนเอกชนและศาสนา กรมสามัญศึกษามีอำนาจบริหารระดับมัธยมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติมีอำนาจบริหารระดับประถมศึกษา มีการจัดสรรอำนาจการบริหารการศึกษาใหม่ โดยใช้พื้นที่การศึกษาเป็นหลัก เรียกว่ามีอำนาจการบริหารตามเขตพื้นที่การศึกษา ที่มีทั้งสิ้น 175 เขตพื้นที่ทั่วประเทศไทย เป็นการเปลี่ยนแปลงอำนาจการบริหารจัดการศึกษาจากการแบ่งอำนาจเป็นระดับการศึกษา ในแต่ละจังหวัดเป็นพื้นที่การศึกษา โดยการแบ่งเขตจังหวัดเป็นเขตพื้นที่การศึกษา
3)ผู้บริหารการศึกษาที่แบ่งเป้น 3 กลุ่ม คือ( 1)ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ดูแลการศึกษาเอกชน (2)ผู้อำนวยการสามัญศึกษาจังหวัด (ผอ.สศจ.)ดูแลการศึกษาระดับมัธยมศึกษา (3)ผู้อำนวยการประถมศึกษาจังหวัด (ผอ.สปจ.) ดูแลการศึกษาระดับประถมศึกษา ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 175  คน ผู้ที่ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา ก็ได้ตำแหน่งรองผู้อำนวยการเขตฯครบทุกคน
4)มีการกระจายอำนาจการบริหารโดยมีการบริหารในรูปแบบองค์คณะบุคคลในทุกเขตพื้นที่ ทำให้การบริหารเขตพื้นที่มีความคล่องตัวสูง

ระยะที่ 7 มีการแบ่งเขตพื้นที่การศึกษาจากเดิม เป็นเขตการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ดังนี้ 1)เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา และสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จํานวน 183 เขตพื้นที่การศึกษา ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การกําหนดและแก้ไขเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่การศึกษาเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่  18 สิงหาคม 2553 และ 2) มีเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจำนวนม 62 เขต ตามประกาศ กระทรวงศึกษาธิการ รื่อง การกำหนดและแก้ไขเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 17  กุมภาพันธ์ 2564 3)รวมเขตพื้นที่การศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา จำนวน 245 เขตพื้นที่การศึกษา

###สรุป 1)การบริหารการศึกษามีการแบ่งอำนาจการบริหารการศึกษาเป็นระดับการศึกษาในแต่ละเขตการศึกษาทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ในแนวราบตามระดับการศึกษา และแบ่งพื้นที่ในแนวตั้งในแต่ละเขตพื้นที่ของแต่ละจังหวัด 

2)มีการกระจายอำนาจการบริหารโดยมีการบริหารในรูปแบบองค์คณะบุคคลในทุกเขตพื้นที่ ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ทำให้การบริหารเขตพื้นที่มีความคล่องตัวสูงยิ่งขึ้น
#####โดยสรุป การบริหารการศึกษาระยะที่ 4-7 กระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการบริหารอำนาจดังนี้
1.การบริหารส่วนกลางมีการรวมอำนาจไว้ในหน่วยงาน โดยการแบ่งอำนาจหน่วยงานที่บริหารต่างระดับการศึกษา คือระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา และในที่สุดรวมอำนาจการบริห่รไว้ในหน่วยงานเดียว 

2.การบริหารส่วนภูมิภาค แบ่งอำนาจการบริหารระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ให้ผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา โดยไม่มีการใช้อำนาจทับซ้อนกัน

3.มีการกระจายอำนาจการบริหารในรูปแบบองค์คณะบุคคล ทำให้การบริหารโรงเรียนในหน่วยงานระดับเขตพื้นที่มีความคล่องตัวสูงและมีประสิทธิภาพ

ระยะที่ 8 (การบริหารปัจจุบัน) ตามคำสั่ง คสช. ที่ 19/2560  เรื่อง การปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ.2560 ทำให้การบริหารการศึกษากลับมากระจุกตัวดังเดิมในอดีต ดังที่ได้วิเคราะห์มาแล้วข้างต้น คือ

1.การเกิด 2 หน่วยงาน ระดับภาคและระดับจังหวัด (ใหม่) และคณะกรรมการ 1 คณะ ระดับจังหวัด (ใหม่) ในส่วนภูมิภาค ส่งผลต่อการใช้อำนาจบริหาร (administrative power)ที่เกิดจากอำนาจใหม่ เหนือผู้อำนวยการเขตพื้นที่เดิมอีก 2 อำนาจทำให้เกิดการทับซ้อนของการใช้อำนาจระดับภูมิภาค
2.ทำให้สายการบังคับบัญชา (chain of command)ระดับภูมิภาคยาวขึ้นกว่าเดิมที่มีเพียง 1 ระดับชั้น คือเขตพื้นที่การศึกษาไปยังโรงเรียน ก็เพิ่มขึ้นอีก 2 ระดับชั้น รวมเป็น 3 ระดับชั้น ซึ่งผิดหลักการการกระจายอำนาจบริหารไปสู่โรงเรียน

ข้อเสนอเชิงวิชาการ
1.สนับสนุนความเห็นเสียงข้างมากที่เห็นชอบร่างมาตรา 3 ให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน 5 ฉบับ ซึ่งมีคำสั่งคสช.ที่ 19/2560 เรื่องปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ที่บัญญัติกฎหมายโดยใช้อำนาจพิเศษซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นกับกฎหมายการศึกษาหลักที่บัญญัติตามครรลองของรัฐธรรมนูญเป็นพระราชบัญญัติ โดยให้บัญญัติการกำหนดโครงสร้างการบริหารในกระทรวงศึกษาธิการเช่นเดียวกับ “พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542  มาตรา32 การจัดระเบียบบริหารราชการในกระทรวงให้มีองค์กรหลักที่เป็นคณะบุคคลในรูปสภา หรือในรูปคณะกรรมการจานวนสี่องค์กร ได้แก่ สภาการศึกษา คณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน คณะกรรมการอาชีวศึกษา และคณะกรรมการการอุดมศึกษา…”

2.ควรมีพระราชกฤษฎีกาการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยให้มีการกระจายอำนาจกลับไปสู่เขตพื้นที่การศึกษาทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาดังเดิม ส่วนการบริหารงานบุคคลนั้น อาจทำได้แบบเดิมในอดีตเมื่อมีตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัด ก็ให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่เขต 1 เลื่อนไปเป็นศึกษาธิการจังหวัด

3.ควรมีการปรับรูปแบบการบริหารการศึกษาระดับเขตพื้นที่การศึกษาในรูปแบบองค์คณะบุคคล และกระจายอำนาจการบริหารให้โรงเรียนมากขึ้น โดยให้มีรูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทของการศึกษาในปัจจุบัน

หวังว่าบทความนี้คงไม่ใช่”การซุกฟืนในกองไฟ” 
เพราะเจตนารมย์ของผู้เขียน”เป็นการชักฟืนออกจากกองไฟ” 
เพื่อมิให้มีปัญหา”สุมฟืนในกองไฟ” ในอนาคตอีกต่อไป

ขอบคุณเนื้อหาและข้อมูลข่าวจาก :: เฟซบุ๊กแฟนเพจ ดร.สมบัติ นพรัก วันที่ 23 พฤษภาคม 2565
  • 23 พ.ค. 2565 เวลา 17:52 น.
  • 1,784

TAGS ที่เกี่ยวข้อง >>

^