LASTEST NEWS

18 เม.ย. 2567สพป.ยโสธร เขต 1 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีพิเศษ ปี พ.ศ.2567 18 เม.ย. 2567สพป.อุดรธานี เขต 2 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีพิเศษ ปี พ.ศ.2567 18 เม.ย. 2567(( รวมลิงก์ )) ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบครูผู้ช่วย กรณีพิเศษ สังกัด สพฐ. ปี พ.ศ.2567 ทุกจังหวัด ทุกเขตพื้นที่ฯ ทั่วประเทศ 18 เม.ย. 2567สพป.บุรีรัมย์ เขต 4 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีพิเศษ ปี พ.ศ.2567  18 เม.ย. 2567ประกาศผลย้ายครู ปี 2567 ครั้งที่ 1 (รอบที่ 2) สพป.ขอนแก่น เขต 5 - ผลย้ายครู 2567 สพป.ขอนแก่น เขต 5 18 เม.ย. 2567ก.ค.ศ. เข้ม สั่งสอบครูคัดลอกผลงานฯ เตรียมจับมือ จุฬาฯ ใช้ระบบอักขราวิสุทธิ์ตรวจสอบ 18 เม.ย. 2567(( รวมลิงก์ )) ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบครูผู้ช่วย กรณีพิเศษ สังกัด สพฐ. ปี พ.ศ.2567 ทุกจังหวัด ทุกเขตพื้นที่ฯ ทั่วประเทศ 18 เม.ย. 2567สพม.ยะลา ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีพิเศษ ปี พ.ศ.2567  18 เม.ย. 2567ประกาศผลย้ายครู ปี 2567 ครั้งที่ 1 (รอบที่ 1) สพป.อุดรธานี เขต 4 - ผลย้ายครู 2567 สพป.อุดรธานี เขต 4 17 เม.ย. 2567สพม.ลพบุรี ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกฯ ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีพิเศษ ปี พ.ศ.2567

อะไรทำให้คุณภาพการศึกษาไทยเกิด 'หักเห'

  • 18 พ.ย. 2557 เวลา 11:49 น.
  • 1,546
อะไรทำให้คุณภาพการศึกษาไทยเกิด 'หักเห'

นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ LINE it! - +

อะไรทำให้คุณภาพการศึกษาไทยเกิด 'หักเห'
 
ความเห็นเรื่องปฏิรูปการศึกษามีมากมายในปัจจุบันจนอาจเรียกได้ว่า เฝือ
 
ถ้าเราเข้าใจเหตุแห่งความเป็นมาของการหักเหของคุณภาพการศึกษาไทยแล้ว อาจทำให้เห็นภาพรวมชัดเจนขึ้น
 
หลายคนสงสัยว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้การศึกษาของเราซึ่งแต่ดั้งเดิมก็มีคุณภาพพอควรหักเหลดต่ำลงได้ขนาดนี้ คำตอบก็คือ
 
(1) ระบบการศึกษาของเราแต่ก่อนเป็นระบบที่เรียกว่า “exclusive” คือเป็นการศึกษาเฉพาะคนชั้นสูง คนมีเงิน คนมีอำนาจ ฯลฯ แต่มาในยุคหลังการวางแผนเศรษฐกิจเมื่อประมาณ พ.ศ. 2505 ลักษณะของการศึกษาไทยก็เริ่มเปลี่ยนไป เรามีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างมาก ประชาชนธรรมดามีความต้องการการศึกษาเพิ่มมากขึ้น เมื่อกระแสของโลกตะวันตกในเรื่องความเท่าเทียมกันของโอกาสในการศึกษาพัดแรงขึ้น เราจึงเปลี่ยนมาเป็นระบบที่เรียกว่า “inclusive” กล่าวคือทุกคนมีโอกาสเข้าเรียนการศึกษาภาคบังคับที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับระดับอุดมศึกษาของภาครัฐที่เบ่งบานอย่างยิ่งตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา
 
2) เสรีภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุควางแผนเศรษฐกิจเป็นต้นมาสร้างพลังผลักดันทางสังคมเศรษฐกิจและการเมืองที่ยิ่งใหญ่มาก จำนวนนักเรียนมีมากขึ้นจนการบริหารจัดการทำได้ยากมากขึ้นเป็นลำดับ
 
ถ้าจำกันได้ เมื่อสมัยก่อนนักเรียนชั้นมัธยมปลายจะสอบข้อสอบเดียวกันพร้อมกันทั้งประเทศ แต่พอถึงราว พ.ศ. 2508-2509 แต่ละโรงเรียนออกข้อสอบและจัดสอบกันเองเนื่องจากภาระการบริหารงานสูงขึ้นมากจนไม่อาจทำได้อย่างเดิม
 
(3) กระแสโลกที่มีทางโน้มเพิ่มจำนวนปีของการศึกษาภาคบังคับทำให้ตลอดเวลา 30 ปีที่ผ่านมาเราปรับการศึกษาภาคบังคับจาก 4 เป็น 6 และ 9 ปีในที่สุด การเพิ่มจำนวนปีการศึกษาพร้อมกับเด็กที่เกิดปีละกว่า 1 ล้านคน เป็นเวลาต่อเนื่องกันนับสิบปีนับตั้งแต่การวางแผนเศรษฐกิจ ทำให้ต้องมีการรับครูเข้าบรรจุเป็นจำนวนมากมายนับหมื่นนับแสนคนในเวลาอันรวดเร็วเมื่อ 20-30 ปีก่อน (จำการเรียนครูภาคทไวไลท์กันได้ไหม ที่แห่เรียนตอนเย็น และเสาร์-อาทิตย์ มืดฟ้ามัวดินเพื่อจะได้เป็นข้าราชการครู)
 
เมื่อมีความจำเป็นต้องผลิตและรับครูจำนวนมากมายในเวลาอันสั้นเพื่อรับมือกับความต้องการ คุณภาพของการผลิตและการคัดเลือกที่ไม่เข้มข้นทำให้มีครูจำนวนมากที่คุณภาพไม่สูง และไม่ได้ต้องการเป็นครูอย่างแท้จริง (ต้องการเพียงเป็นข้าราชการ) หลุดเข้ามาเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ครูที่รักความเป็นครู มีจิตวิญญาณของความเป็นครูอย่างแท้จริงก็มีคละปะปนอยู่ด้วยอย่างไม่แน่ใจว่าส่วนใดมากกว่ากัน
 
การรับครูจำนวนมากเช่นนี้ในอดีตเมื่อ 20-30 ปีก่อนจึงมีผลทำให้ครูเกือบครึ่งหนึ่งในปัจจุบันอยู่ในช่วงอายุ 50-60 ปี และเป็นที่ทราบกันดีว่าคนในวัยนี้มีพลังกายและพลังใจลดน้อยถอยลงเป็นอันมาก ยิ่งครูที่ไม่ได้ตั้งใจเป็นครูและอยู่ในวัยนี้ด้วยแล้ว เราพอจะมองเห็นได้ว่าคุณภาพครูเหล่านี้เป็นอย่างไร
 
(4) ในภาพรวมครูมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 400,000 คน เป็นจำนวนที่มากอย่างสอดคล้องกับจำนวนนักเรียนปัจจุบันที่เกิดเพียงประมาณปีละ 800,000-850,000 คน แต่ครูกลับขาดแคลนในโรงเรียนนับหมื่นโรงเรียนในจำนวนกว่า 32,000 โรงเรียนทั่วประเทศ เป็นเวลายาวนานที่โรงเรียนจำนวนมากโดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่มีเด็กต่ำกว่า 150 คนในชนบทขาดแคลนครูทั้งๆ ที่จำนวนครูรวมทั้งประเทศมีเพียงพอ สาเหตุมาจากครูส่วนใหญ่ต้องการสอนในโรงเรียนใหญ่ดังๆ ในกรุงเทพฯ หรือในตัวเมืองของจังหวัด เนื่องจากสามารถสอนพิเศษหารายได้ตอนเย็น ได้อยู่ใกล้ “ผู้ใหญ่” และ “กำนัน” เรียนต่อก็สะดวก โอกาสก้าวหน้ามีมากกว่าเป็นอันมาก ฯลฯ
 
กระทรวงศึกษาธิการไม่สามารถโอนย้ายครูจากโรงเรียนเหล่านี้ที่มีครูเป็นสัดส่วนกับนักเรียนต่ำไปยังโรงเรียนที่ขาดแคลนครูในพื้นที่ไกลออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นเพราะประเพณีหรืออะไรก็ไม่ทราบที่ยึดกันมาว่าถ้าครูไม่ยินยอมให้ย้ายโรงเรียนแล้วไม่อาจย้ายครูได้ (กลัวครู ช้ำใจจนสอนไม่ได้? ครูเส้นใหญ่จนบังคับไม่ได้?)
 
การขาดแคลนครูในโรงเรียนนอกเมืองซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ของประเทศศึกษาอยู่จึงเป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนาน หลายโรงเรียนขาดแคลนครู แถมครูยังมีคุณภาพไม่ดีอีก ขาดจิตวิญญาณของการเป็นครู ได้รับเงินอุดหนุนโรงเรียนต่ำเพราะมีนักเรียนน้อย (เขาให้เงินอุดหนุนต่อหัวต่างกันไม่มากระหว่างเด็กในเมืองกับนอกเมือง) แต่โรงเรียนใหญ่ในเมืองรับเงินอุดหนุนมหาศาลเพราะมีนักเรียนมาก ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือเด็กซึ่งอยู่ห่างไกลซึ่งเป็นจำนวนส่วนใหญ่ของประเทศถูกลงโทษสามเด้ง (เกิดมาจน ขาดแคลนครู โรงเรียนได้รับเงินอุดหนุนต่ำ)
 
(5) การเมืองเข้าแทรกแซงในการโอนย้ายครู บวกคอร์รัปชันในบางกลุ่มของผู้บริหารโรงเรียน ไม่ว่าจัดซื้อ จัดจ้าง โอนย้ายครู เลือกซื้อแบบเรียน เงินบริจาค ฯลฯ สถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้วก็เลยรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อมองไปรอบบ้านเด็ก สังคมก็ให้ตัวอย่างที่เลวแก่เด็ก พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็มุ่งแต่หาเงินเลี้ยงชีพ ตัวอย่างดี ๆ ที่เด็กเห็นมีน้อย เด็กเห็นว่าความไม่จริงใจ การโกหกหลอกลวง เป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็ทำกัน
 
(6) แต่ละรัฐบาลมีความฝันเฟื่องในเรื่องการศึกษาที่ไม่ปะติดปะต่อกัน บางพรรคบางรัฐบาลทำให้การศึกษาเดินหน้าไป 5 ก้าว แต่ต่อมาอีกไม่กี่เดือนก็มีรัฐมนตรีใหม่ที่ทำให้ถอยไป 3 ก้าวมาแทน เปลี่ยนกันรวดเร็วราวกับเดินทางมาบนสายพานของโรงงานอุตสาหกรรม และก็เป็นอย่างนี้สลับไปมายาวนานอย่างไม่มีทิศทางที่แน่ชัดและไม่มีโครงการที่ต่อเนื่อง
 
(7) เมื่อสิบกว่าปีก่อน หลักสูตรใจกว้างให้ครูมีวิจารณญาณในการเลือกสอนเนื้อหาได้กว้างขวาง ดังนั้น เด็กจึงเรียนพื้นฐานไม่เหมือนกัน ประวัติศาสตร์บางตอนครูบางคนก็ข้ามไปเพราะเห็นว่าไม่น่าสนใจ
 
(8) โรงเรียนไม่มีอัตราจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการใหม่มานาน ดังนั้น ครูบางส่วนจึงทำหน้าที่ธุรการปนเปไปกับการสอนเด็ก เมื่อถึงยุคสมัยฮิตของการตรวจประเมินโรงเรียน มีตัวชี้วัดมากมายดังเช่นปัจจุบัน ครูจำนวนมากก็หมกมุ่นอยู่กับงานเหล่านี้ เพราะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงโรงเรียน แต่ไม่กระทบต่อผู้บริหารโรงเรียนและผู้บริหารส่วนกลาง
 
ไม่ว่านักเรียนจะมีสัมฤทธิผลการศึกษาเป็นอย่างไร อ่านหนังสือไม่ออกกี่คน คุณภาพเป็นอย่างไร ผู้บริหารโรงเรียนและผู้บริหารส่วนกลางก็ได้รับเงินเดือนขึ้นเสมอ (แถมมีโบนัสอีกด้วย) ตำแหน่งก้าวหน้าอย่างไม่มีการเชื่อมโยงกับคุณภาพการศึกษาที่เด็กได้รับอย่างแท้จริง พูดง่าย ๆ ก็คือ ระบบเป็นไปในทางที่ทำให้ผู้บริหาร “ไม่ต้องมีความรับผิดรับชอบ” ต่อผลที่เกิดขึ้น
 
(9) ในต่างจังหวัดครูต้องไปร่วมงานของจังหวัดเสมอในเทศกาลต่าง ๆ ไม่ว่าส่งเสริมเรื่องใดก็ตาม อีกทั้งต้องเกณฑ์นักเรียนไปร่วมงานราชการ มีการพูดกันว่าครูในปัจจุบันนั้น “ทำทุกอย่างยกเว้นสอนหนังสือ”
 
ครูรุ่นหนุ่มรุ่นสาวที่บังเอิญหลุดพลัดเข้าไปในโรงเรียนต่างจังหวัดต้องรับเหมางานเหล่านี้ทั้งหมด เพราะเป็นประเพณีว่าเมื่อเป็นผู้บริหารแล้วไม่สอนหนังสือ ยกเว้นผู้บริหารที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครูและรักและปรารถนาดีต่อเด็กอย่างแท้จริง
 
การที่ต้องมีการปฏิรูปใดๆ ก็เพราะสถานะเดิมนั้นไม่เป็นที่น่าพอใจของสังคม อย่างไรก็ดี ในสถานะที่มันเป็นอยู่นั้นมีผู้ “พอใจ” อยากให้มันดำรงอยู่ต่อไปเพราะได้รับผลประโยชน์ ดังนั้น การปฏิรูปจึงสร้างความเจ็บปวดให้คนที่ “พอใจ” อยู่แล้วอย่างแน่นอน และถ้าไม่มีการออกแรง “ทุบโต๊ะ” แล้ว ยากนักหนาที่จะเปลี่ยนแปลง หรือ “ปฏิรูป” อะไรได้ เพราะคน “ที่พอใจ” อยู่แล้วมีพลังในตัวอันเข้มแข็งและมีออร่าเจิดจรัสโดยธรรมชาติ
 
 
  • 18 พ.ย. 2557 เวลา 11:49 น.
  • 1,546

TAGS ที่เกี่ยวข้อง >>

ความคิดเห็นเกี่ยวกับ : อะไรทำให้คุณภาพการศึกษาไทยเกิด 'หักเห'

เงื่อนไข การร่วมแสดงความคิดเห็น!

ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือ ชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม เพื่อให้ผู้ควบคุมระบบทราบและทำการลบข้อความนั้น ออกจากระบบต่อไป

ขอขอบพระคุณล่วงหน้า มา ณ โอกาสนี้

^