บนเว็บบอร์ดพันทิป มีผู้ใช้รายหนึ่งซึ่งระบุชัดเจนว่าตนเองเป็น “ครูผู้สอน” ได้ตั้งกระทู้สะท้อนมุมมองต่ออาชีพครู และตั้งคำถามต่อกระแสในสังคมที่มักวิจารณ์ว่า “ทำไมครูถึงชอบบ่นเรื่องงานหนัก” พร้อมเปรียบเทียบกับอาชีพอื่นที่เมื่อออกมาบ่นเรื่องภาระงาน กลับไม่ถูกตั้งคำถามในลักษณะเดียวกัน
เจ้าของกระทู้ยืนยันว่าทุกอาชีพล้วนมีความเหน็ดเหนื่อยและมีคุณค่าเท่าเทียมกัน แต่อาชีพครูมีความ “ไม่สมเหตุสมผล” ในเชิงโครงสร้างของงานอยู่มาก โดยเฉพาะการที่ครูส่วนใหญ่ตั้งใจเข้ามาในวิชาชีพนี้เพื่อ “สอนหนังสือ” และทำงานกับนักเรียนโดยตรง แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่าตนเองต้องใช้เวลาจำนวนมากไปกับภาระงานอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยตรง
ครูอยากสอน แต่ระบบดึงครูออกห่างจากนักเรียน
ผู้ตั้งกระทู้เล่าว่า คนที่มาเป็นครูจำนวนมากเข้ามาด้วยความตั้งใจอยากสอน อยากอยู่กับนักเรียน และพร้อมจะเหนื่อยกับงานสอนหากได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเตรียมการสอน ออกแบบการเรียนรู้ และอยู่หน้าชั้นเรียนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของภาระงานทั้งหมด แต่ในสภาพปัจจุบัน ครูจำนวนมากกลับพบว่าตนเองห่างจากห้องเรียนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ภารกิจที่ถูกเพิ่มเข้ามา ทั้งงานเอกสารเชิงบริหาร งานโครงการ งานตามนโยบายต่าง ๆ รวมถึงงานธุรการจำนวนมาก กลายเป็น “ภูเขางาน” ที่เบียดเวลาสำหรับการสอนออกไป ทำให้ครูหลายคนที่มีไฟในการจัดการเรียนรู้สมัยใหม่ รู้สึกท้อแท้และหมดแรงใจ เพราะไม่ได้ใช้พลังและความถนัดในสิ่งที่ตนเองเรียนรู้และเตรียมตัวมาเพื่อเป็นครู
โรงเรียนเล็ก ครูน้อย งานล้น คือภาพจริงของโรงเรียนส่วนใหญ่
ในกระทู้ยังสะท้อนถึงบริบทของโรงเรียนไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กในต่างจังหวัดและชนบท ที่มีครูไม่ถึง 10 คน นักเรียนไม่ถึง 100–300 คน แต่ต้องรับผิดชอบภาระงานเทียบเท่าหน่วยงานขนาดใหญ่ ทั้งงานวิชาการ งานบริหาร งานระบบ งานโครงการ และงานประสานงานในพื้นที่
ผู้ตั้งกระทู้ย้ำว่า โรงเรียนที่มีทรัพยากรพร้อม อยู่ในเมืองใหญ่ หรือเป็นโรงเรียนชื่อดังนั้นมีอยู่จริง แต่ถือเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับภาพรวมของระบบการศึกษาไทย ขณะที่โรงเรียนทั่วไปและโรงเรียนชนบทจำนวนมากต้องรับมือกับข้อจำกัดทั้งด้านบุคลากร งบประมาณ และบริบทชุมชนไปพร้อมกัน
ทุกอาชีพเหนื่อยเหมือนกัน แต่ความไม่สมเหตุสมผลของงานครูต่างออกไป
เจ้าของกระทู้ไม่ได้ปฏิเสธความเหน็ดเหนื่อยของอาชีพอื่น เช่น วิศวกร แพทย์ หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากแต่ชี้ให้เห็นว่าโดยทั่วไปแล้ว ผู้ประกอบอาชีพเหล่านั้นมักได้ทำงาน “ตรงสาย” ตามที่ตนเองเรียนและเตรียมตัวมา เช่น แพทย์ก็ได้รักษาคนไข้ วิศวกรได้ออกแบบและคำนวณ ตำรวจก็ทำงานด้านกฎหมายและการรักษาความสงบ
ในขณะที่ครูจำนวนไม่น้อยกลับรู้สึกว่า ตนเองไม่ได้ใช้เวลาไปกับ “การสอน” เท่าที่ควร แต่ต้องแบ่งสมาธิและเวลาไปกับงานอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ จึงเกิดคำถามในใจครูหลายคนว่า ความเหนื่อยที่ตนเองแบกรับอยู่นั้น “สมเหตุสมผล” หรือไม่
จรรยาบรรณครู ทำให้ต้องทน ทั้งที่หลายคนแทบหมดแรง
อีกประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา คือเรื่องจรรยาบรรณและศักดิ์ศรีความเป็นครู ผู้ตั้งกระทู้ระบุว่าแม้ครูจะเหนื่อย ท้อ หรือรู้สึกไม่ยุติธรรมกับระบบเพียงใด แต่หลายคนยังคง “ต้องฝืนก้าวเข้าไปในห้องเรียน” เพราะตระหนักว่าหน้าที่สำคัญที่สุดคือการสอนและดูแลนักเรียน
อย่างไรก็ตาม เมื่อภาระงานนอกห้องเรียนทับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ครูบางคนต้องหันไปพึ่งรายได้เสริม หรือตัดสินใจมองหาเส้นทางอาชีพใหม่ที่ให้ความมั่นคงและสมดุลชีวิตมากกว่า ขณะที่บางคนยังเลือกอยู่ในระบบด้วยความรู้สึกรักอาชีพครู แต่ไม่พอใจในระบบการทำงานที่เป็นอยู่
ฝากถึงคนวิจารณ์ครู ลองสัมผัสระบบจริง ก่อนตัดสินว่า “แค่บ่น”
ตอนหนึ่งของกระทู้ ผู้เขียนฝากข้อความถึงผู้ที่มักตั้งคำถามหรือวิจารณ์ครูว่า หากอยากเข้าใจความเป็นจริงของงานครู ควรลองสัมผัสระบบจริง ตั้งแต่ขั้นตอนการสอบแข่งขันบรรจุ ไปจนถึงการปฏิบัติงานในโรงเรียน ว่าต้องรับมือกับภาระงานและข้อจำกัดอะไรบ้าง ก่อนจะสรุปว่า “ครูบ่นเกินเหตุ” หรือ “ครูเหนื่อยอยู่แค่อาชีพเดียว”
เจ้าของกระทู้ย้ำว่า ตนเองเป็นคนหนึ่งที่รักการสอนมาก แต่ไม่ชอบระบบการศึกษาและระบบการทำงานของครูในปัจจุบัน แม้สวัสดิการด้านต่าง ๆ เช่น การรักษาพยาบาลและความมั่นคงในฐานะข้าราชการจะดูดีในสายตาคนนอก แต่เมื่อเทียบกับภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบแล้ว เขามองว่าหลายอย่าง “หนักเกินสมควร”
เสียงสะท้อนจากกระทู้นี้จึงไม่ใช่เพียงการบ่นระบายของครูคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการตั้งคำถามต่อโครงสร้างและระบบการศึกษาที่อาจจำเป็นต้องทบทวนใหม่ หากสังคมต้องการให้ครูได้กลับมาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “การสอนและพัฒนาผู้เรียน”




ที่มาของกระทู้ https://pantip.com/topic/43568683
