ปรับเกณฑ์จ้างครูยึดประสบการณ์แทนวุฒิ
นำเสนอข่าวโดย >> ทีมงานครูวันดีดอทคอม
ส่งข่าวนี้ เข้าไลน์ 
ก-
ก+
ปรับเกณฑ์จ้างครูยึดประสบการณ์แทนวุฒิ
สกศ.รุกผุดยุทธศาสตร์พัฒนาแม่พิมพ์ เพิ่มค่าตอบแทนแก้สาขาขาดแคลน
รศ.ดร.พินิติ รตะนานุกูล เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูประบบการผลิตและพัฒนาครู เมื่อเร็วๆนี้ได้พิจารณา (ร่าง) ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนาครู ซึ่งจัดทำโดยกลุ่มพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา สำนักมาตรฐานการศึกษาและพัฒนา การเรียนรู้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) โดยได้อภิปรายและวิพากษ์อย่างกว้างขวาง มีการวางกรอบแนวคิดยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนาครู มีวิสัยทัศน์เพื่อยกระดับคุณภาพครูให้เป็นครูมืออาชีพ มีสมรรถนะเหมาะสมกับการเป็นครูในศตวรรษที่ 21 และให้ความสำคัญต่อทิศทางการผลิตครูทั้งระบบ สามารถดึงคนเก่ง คนดี คนมีฝีมือเข้ามาสู่อาชีพครูเพื่อสร้างเบ้าหลอมเยาวชนที่มีคุณภาพ มีทักษะการดำเนินชีวิต และการประกอบอาชีพตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน
เลขาธิการ สกศ.กล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญต่อการผลิตและพัฒนาครูในระยะยาว 20 ปี โดยมีการวางยุทธศาสตร์และเป้าหมายการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อแก้ปัญหาการผลิตและพัฒนาครูทั้งระบบให้ตรงจุด โดยเฉพาะปัญหาการ ขาดแคลนครูในสาขาขาดแคลน อาทิ ครูช่างอุตสาหกรรม ครูเกษตรกรรม ครูในสายผลิตและการให้บริการ เบื้องต้นคณะทำงานของ สกศ.ได้มีข้อ สรุปเสนอให้คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) พิจารณาปรับข้อกำหนดการจัดจ้างครูในสาย ขาดแคลน เน้นสมรรถนะ ประสบการณ์ และทักษะ มากกว่าพิจารณาตามวุฒิการศึกษา เพื่อแก้ปัญหาครูสายขาดแคลนให้ได้รับค่าตอบแทนสูงขึ้น ทั้งนี้จะมีการประชุมอีกครั้งในสัปดาห์หน้า
ด้าน ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ผู้ช่วยเลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ต้องปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้างกรอบคิดแบบใหม่ให้เด็กรู้จักทักษะการใช้ชีวิต และการประกอบอาชีพ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ควรแก้ปัญหาทั้งเรื่องหลักสูตร และแนวคิดการจัดการเรียนการสอนตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาทั้งระบบ ไม่ใช่อิงกับกระแสสังคมมากเกินไป โดยเฉพาะการกวดวิชาเพื่อสอบแข่งขันกันจนทำให้พัฒนาการด้านการใช้ชีวิตของเด็กขาดหายไป หากได้ข้อสรุป กระทรวงศึกษาธิการจะนำเสนอกรอบ (ร่าง) ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนาครูเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อ สปช.จะได้สรุปยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษา ภายในวันที่ 10 เม.ย.นี้.
ที่มาของข่าว : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ