การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบสอบโดยใช้คําถาม
ผู้วิจัย สุนทร ใจภักดี
ปีการศึกษา 2561
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบสอบ โดยใช้คําถามตามการจําแนกประเภทวัตถุประสงค์ทางการศึกษาของบลูม ตามเกณฑ์ 75/75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฟิสิกส์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยการเรียนการสอนแบบสืบสอบโดยใช้คําถามตามการจําแนกประเภทวัตถุประสงค์ทางการศึกษาของบลูม และ 3) เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นผสมผสาน ของนักเรียนระหว่างก่อนและหลังเรียนด้วยการเรียนการสอนแบบสืบสอบโดยใช้คําถามตามการจําแนกประเภทวัตถุประสงค์ทางการศึกษาของบลูม กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ที่กำลังเรียน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จํานวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ แบบสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ 1 เรื่อง การเคลื่อนที่แนวตรง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ตั้งแต่ 0.29 ถึง 0.64 ค่าความยากง่ายตั้งแต่ 0.26 ถึง 0.74 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับโดยใช้วิธีของครอนบาค (Cronbach) เท่ากับ 0.85 และแบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นผสมผสาน แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ตั้งแต่ 0.21 ถึง 0.71 ค่าความยากง่ายตั้งแต่ 0.29 ถึง 0.76 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับโดยใช้วิธีของครอนบาค (Cronbach) เท่ากับ 0.84 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบสอบโดยใช้คำถามตามการจำแนกประเภทวัตถุประสงค์ทางการศึกษาของบลูม เรื่อง การเคลื่อนที่แนวตรง วิชา ฟิสิกส์ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เท่ากับ 77.14/75.19 เท่ากับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 75/75
2. นักเรียนที่เรียนด้วยการเรียนการสอนแบบสืบสอบโดยใช้คำถามตามการจำแนกประเภทวัตถุประสงค์ทางการศึกษาของบลูม มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. นักเรียนที่เรียนด้วยการเรียนการสอนแบบสืบสอบโดยใช้คำถามตามการจำแนกประเภทวัตถุประสงค์ทางการศึกษาของบลูม มีคะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นผสมผสานหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05